แบบฝึกหัดบทที่ 1
1.
ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมาย
หากไม่มีจะเป็นอย่างไร
การที่มาร่วมกันอยู่เป็นจำนวนมาก
จะต้องเกิดมีเห็นที่แตกต่างกัน เกิดการขัดแย้ง ดังนั้นจึงต้องมีการตั้งกฎและระเบียบขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางอย่าง
และให้มีเสรีภาพเท่าที่จำเป็น เพื่อที่มนุษย์จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง มนุษย์ต้องมีกฎหมาย
เพราะกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์
ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์สร้างขึ้นใช้เป็นเกณฑ์เกณฑ์สร้างความสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่า “บรรทัดฐานทางสังคม” เพื่อควบคุมพฤติกรรมและความขัดแย้งของมนุษย์ให้ศีลธรรม
ประเพณี ศาสนา
เพื่อการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมที่ไม่เกิดปัญหามากมายและเป็นข้อกำหนดที่ทำให้มนุษย์เราต้องเกิดความแตกแยก
และไม่เคารพกฎเกณฑ์ซึ่งกันและกัน มนุษย์เราจึงต้องมีกฎหมายคุ้มครอง
หากไม่มีกฎหมายอำนาจจะตกอยู่กับผู้ที่มีอำนาจ
ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีบทลงโทษ ในที่สุดก็จะไม่มีระเบียบวินัย บ้านเมืองมีปัญหาวุ่นวาย
มนุษย์ต่างคนต่างจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่เกรงกลัวความผิด ผู้ที่มีอิทธิพลก็จะควบคุมคนในสังคม โดนการเอาเปรียบ
2.
ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายจะเป็นอย่างไร
สังคมปัจจุบันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกฎหมายในการควบคุมหรือข้อบังคับเนื่องจากสังคมปัจจุบัน
มีการแข่งขันกันมากและทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์จากหน้าที่การงานหรือจากหน่วยงานต่างคนที่มีอำนาจจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ส่วนคนที่ไม่มีอำนาจก็จะไม่มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน
3.
ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก. ความหมาย
กฎหมาย คือข้อบังคบที่ทุกคนยึดถือและปฏิบัติเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
ซึ่งผู้มีอำนาจของประเทศได้บัญญัติขึ้น
และบังคับให้ผู้ที่อยู่ในประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม
เพื่อกำหนดความประพฤติของพลเมืองผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามมีความผิดและถูกลงโทษ
ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
1. เป็นคาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาอธิปไตยที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติหัวหน้าคณะปฏิวัติกษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้เช่นรัฐสภาตราพระราชบัญญัติคณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกาคณะปฏิวัติออกคาสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่างๆถือว่าเป็นกฎหมาย
2. มีลักษณะเป็นคาสั่งข้อบังคับอันมิใช่คาวิงวอนประกาศหรือแถลงการณ์อาทิประกาศของกระทรวงศึกษาธิการคาแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมายสาหรับคาสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมายเช่นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นต้น
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาคเพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้เช่นกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มีเงินได้การแจ้งคนเกิดภายใน
15 วันแจ้งคนตายภายใน 24
ชั่วโมงยื่นแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินเมื่ออายุย่างเข้า 18 ปีเข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารประจาการเมื่ออายุย่างเข้า 21 ปีเป็นต้น
4. มีสภาพบังคับซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทาและการงดเว้นการกระทาตามกฎหมายนั้นๆกำหนดหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้และสภาพบังคับในทางอาญาคือโทษที่บุคคลผู้ที่กระทาผิดจะต้องได้รับโทษเช่นรอลงอาญาปรับจาคุกกักขังริมทรัพย์แต่หากเป็นคดีแพ่งผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายหรือชาระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทาหรืองดเว้นกระทาอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้เช่นบังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยบังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น
ค. ที่มาของกฎหมาย
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นกฎหมายลักษณ์อักษรเช่นกฎหมายประมวลรัษฎากรรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกากฎกระทรวงเทศบัญญัติซึงกฎหมายดังกล่าวผู้มีอานาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน
หากนาไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น
การชกมวยเป็นกีฬา หากชนตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต
ย่อมไม่ผิดฐานทาร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้
ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา
ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กำหนดจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ
ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทาร้ายผู้อื่น
กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคาพิพากษา
ซึ่งคาพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนาไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง
ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทาไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้
อาจนาไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์
เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่
จึงทาให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้
ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
ง. ประเภทของกฎหมาย
ก. กฎหมายภายใน
มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.2
กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
2.2
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
3. กฎหมายสารบัญญัติ
และกฎหมายวิธีสาบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีสาบัญญัติ
4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน
4.2 กฎหมายเอกชน
ข. กฎหมายภายนอก
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
4.
ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร
ว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ผู้ที่อยู่ร่วมกันในสังคมจึงต้องยึดมั่นและเคารพต่อหลักเกณฑ์ของกฎหมายในบ้านเมืองที่กำหนดไว้
ต้องไม่พยายามหาช่องว่างหรือช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
และไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นกฎหมายจึงเป็นเครื่องมือในการสร้างความสงบสุขและความเป็นธรรมให้แก่บุคคลในสังคม
ให้มีสิทธิและหน้าที่โดยเท่าเทียมกัน
5.
สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร
จงอธิบาย
สภาพกฎหมายก็เป็นการกำหนดบังคับของทางกฎหมายที่ให้มนุษย์ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
และถูกต้อง เพื่อมนุษย์ได้เข้าใจกฎหมายและแนวทางตามบัญญัติที่วางไว้ในข้อของกฎหมาย
6.
สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
แตกต่างกันด้วยสภาพบังคับ
ในกฎหมายแพ่งนั้น มีสภาพบังคับประเภทหนึ่ง คือ ถ้าหากมีการล่วงละเมิดกฎหมายแพ่ง
บุคคลผู้ร่วงละเมิดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล
ก็อาจะถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเอาเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล มิฉะนั้นอาจถูกกักขังจนกว่าจะทำตามคำพิพากษาของศาลได้
ส่วนในกฎหมายอาญานั้นมีสภาพบังคับประเภทหนึ่ง คือ
โทษทางอาญาซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้สำหรับความผิด
7.
ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร
จงอธิบาย
ระบบกฎหมายมี 2 ระบบ
1. ระบบซีวิลลอร์ หรือระบบลายลักษณ์อักษร
ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12
เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย
“Jus Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น
คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย
แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ
จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า
กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน
และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้
2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System)
เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา
ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์
เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นาเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา
ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้
จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง
การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้
8.
ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง
มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
ประเภทของกฎหมาย
ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ
คือ 1. ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย 2. ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
3. ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
1. ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
1.1. ระบบลายลักษณ์อักษร
( CIVIL LAW SYSTEM ) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก กระบวนการ
จัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก
มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภา
มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา
เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะ ประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา
กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
1.2. ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี
( COMMON LAW SYSTEM) เป็นกฎหมาย ที่
มิได้มีการจัด.ะเพณีที่ใช้กันต่อๆมา ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้งบันทึกคำพิพากษาของ
ศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี
หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่
ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายในเครือจักรภพของอังกฤษ
2. ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
2.1. กฎหมายสารบัญญัติ
คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล กำหนด
ข้อบังคับความประพฤติของบุคคลทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา โดยเฉพาะในทางอาญา คือ
ประมวลกฎหมายอาญา
จะบัญญัติลักษณะการกระทำอย่างใดเป็นความผิดระบุองค์ประกอบความผิดและกำหนดโทษไว้ว่าจะต้องรับโทษอย่างไร
และในทางแพ่ง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จะกำหนดสาระสำคัญของบทบัญญัติว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่าง ๆ
ตามกฎหมาย เช่น นิติกรรม หนี้ สัญญา เอกเทศสัญญา เป็นต้น
2.2. กฎหมายวิธีสบัญญัติ
คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการปฏิบัติด้วยการนำเอากฎหมายสารบัญญัติไปใช้ไปปฏิบัตินั่.ะบบ
ขั้นตอนในการใช้ เช่น กำหนดอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ต้องหา
วิธีการร้องทุกข์ วิธีการสอบสวนวิธีการนำคดีที่มีปัญหาฟ้องต่อศาล
วิธีการพิจารณาคดีต่อสู้คดี ในศาลรวมทั้งการบังคับคดีตามคำสั่ง
หรือคำพิพากษาของศาล เป็นต้น กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
3. ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
3.1. กฎหมายมหาชน
เป็นกฎหมายที่รัฐตราออกใช้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ประชาชนการบริหารประเทศ
รัฐมีฐานะเป็นผู้ปกครองประชาชนด้วยการออกกฎหมายและให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม
จึงตรากฎหมายประเภทมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนรวมทั้งประเทศ
และทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีผลกระทบต่อบุคคลของประเทศเป็นส่วนรวม
จึงเรียกว่า กฎหมายมหาชน กฎหมายประเภทนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง
เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ.แผ่นดิน กฎหมายอาญา เป็นต้น
3.2. กฎหมายเอกชน
เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน ด้วยกันเอง เป็นความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา
คือ เอกชนด้วยกันเอง รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม
จึงให้ประชาชนมีอิสระกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกรอบของกฎหมายเพื่อ.คุ้มครอง
ความเสมอภาคมิให้เอาเปรียบต่อกันจนเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นต่อ
9.
ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร
มีการแบ่งอย่างไร
ศักดิ์ของกฎหมายคือ
เป็นการจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน” จากประเด็นดังกล่าวพอที่จะกล่าวต่อไปได้อีกว่า
ในการจัดลำดับมีการจัดอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลำดับที่ต่ำกว่า
จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลาดับที่สูงกว่าไม่ได้และเราจะพิจารณาอย่างไร
1
การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สำคัญ
เป็นการกำหนดหลักการและนโยบายเท่านั้น เช่น พระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน
2 การให้รัฐสภา
เป็นการทุ่นเวลา และทันต่อความต้องการและความจาเป็นของสังคม
3
ฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายลูกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการและนโยบายในกฎหมายหลักฉบับนั้นมีการแบ่ง
1.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2.พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
3. พระราชกำหนด
4.
ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
5.
พระราชกฤษฎีกา
6. กฎกระทรวง
7.
ข้อบัญญัติจังหวัด
8. เทศบัญญัติ
9.
ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล
10.
เหตุการณ์
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555
มีเหตุการณ์ของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า
และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม
และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน
ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำผิดหรือไม่
เป็นการกระทำที่ผิด
เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น
แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร
เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า
1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ
11.
ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
กฎหมายการศึกษา
กฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษาคือ
จะเป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับใช้
และถือว่ากฎหมายทางการศึกษาฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้ครูและบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายการศึกษาให้มากขึ้น
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
จะสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาของชาติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
12.
ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้
ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู
จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
กฎหมายการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญ ของการพัฒนาคน
ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษา
เสมือนวิศวกรในการสร้างคนให้เป็นไปตามความต้องการของคนในประเทศ
และนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขต่อเยาวชนและประเทศชาติ
หากครูหรือบุคลากรทางการศึกษาไม่ได้รับการศึกษาเรียนรู้ กฏหมายเหล่านี้
ก็เปรียบเสมือนครูที่ไร้ซึ้งแนวทาง กฎระเบียบ ในการพัฒ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น